การปรับขนาด Position ตามความผันผวน (Volatility-Based Position Sizing)
การปรับขนาด Position ตามความผันผวน: กุญแจสู่การบริหารความเสี่ยง
การบริหารขนาดของสถานะ (Position Sizing) คือหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ใดก็ตาม แต่สำหรับ Options ซึ่งมีปัจจัยเรื่อง Leverage และ ความอ่อนไหวต่อความผันผวน (Vega) เข้ามาเกี่ยวข้อง การปรับขนาด Position ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การเทรดด้วยขนาดเท่าเดิมตลอดเวลา อาจทำให้คุณเสี่ยงมากเกินไปในยามที่ตลาดผันผวนสูง หรือพลาดโอกาสทำกำไรในยามที่ตลาดสงบ
หลักคิดพื้นฐาน: สัมพันธ์ผกผันระหว่าง Volatility และ Position Size
แนวคิดหลักนั้นเรียบง่ายและสมเหตุสมผล: ปรับขนาดการเทรดเพื่อรักษาระดับความเสี่ยง (Dollar Risk) ให้ค่อนข้างคงที่ ไม่ว่าตลาดจะแกว่งตัวรุนแรงเพียงใด
- เมื่อตลาดผันผวนสูง (High Volatility): ราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (และราคา Option) มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างมาก → เราต้อง ลดขนาด Position ให้เล็กลง เพื่อจำกัดผลกระทบจากการแกว่งตัวรุนแรง หากเทรดขนาดเท่าเดิม อาจทำให้ขาดทุนเกินกว่าระดับที่ยอมรับได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- เมื่อตลาดผันผวนต่ำ (Low Volatility): ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ → เราสามารถ เพิ่มขนาด Position ให้ใหญ่ขึ้นได้ โดยที่ยังคงระดับความเสี่ยงเดิมไว้ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้แม้ตลาดจะเคลื่อนไหวน้อย
การใช้ Volatility เป็นเกณฑ์: เครื่องมือวัดความเสี่ยง
เราสามารถวัดระดับความผันผวนได้หลายวิธี เพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดขนาด Position:
- Implied Volatility (IV): ค่านี้สะท้อน ความคาดหวัง ของตลาดว่าจะเกิดความผันผวนรุนแรงเพียงใดในอนาคต เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผล โดยตรง ต่อราคา Premium ของ Option ยิ่ง IV สูง Option ยิ่งแพง
- Historical Volatility (HV): ค่านี้วัด ความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง ในอดีต ใช้เพื่อเปรียบเทียบกับ IV ปัจจุบัน ว่าสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
- Average True Range (ATR): เป็น Indicator ทางเทคนิคที่วัด ขนาดการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยในแต่ละวัน ของสินทรัพย์อ้างอิง เป็นเครื่องมือที่จับต้องได้ง่ายและนิยมใช้ในการกำหนดจุด Stop Loss และขนาด Position
กฎง่ายๆ:
- ถ้า IV หรือ ATR เพิ่มขึ้น → สัญญาณเตือนว่าความเสี่ยงสูงขึ้น → ควรลดขนาด Position
- ถ้า IV หรือ ATR ลดลง → สัญญาณว่าตลาดนิ่งลง → สามารถพิจารณาเพิ่มขนาด Position (ภายใต้กรอบความเสี่ยงรวม)
สูตรเบื้องต้น (แนวคิด): ปรับใช้กับ Option
สูตรทั่วไปสำหรับการคำนวณขนาด Position มักอิงกับการเทรดหุ้นหรือ Futures แต่เราสามารถนำหลักการมาปรับใช้กับ Option ได้:
ขนาดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Dollar Risk) = % ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ × ขนาดพอร์ต
ขนาด Position (โดยประมาณ) = ขนาดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ / (ความเสี่ยงต่อหน่วย × ตัวคูณ)
- ขนาดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Dollar Risk): คือจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยอมขาดทุนได้ในการเทรดครั้งนี้ เช่น 1% หรือ 2% ของขนาดพอร์ตทั้งหมด (เช่น พอร์ต 1,000,000 บาท เสี่ยง 1% = 10,000 บาท)
- ความเสี่ยงต่อหน่วย (Volatility / Expected Move): อาจใช้ค่า ATR หรือค่า Standard Deviation ของราคาหุ้น หรือสำหรับ Option คือ ค่า Premium สูงสุดที่คุณจะเสียได้ต่อ 1 สัญญา (สำหรับการซื้อ Option) หรือ ความเสี่ยงสูงสุดที่ประเมินไว้ (สำหรับกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้น)
- ตัวคูณ (Multiplier): อาจเป็นค่าคงที่ (เช่น 2 หรือ 3 เท่าของ ATR) หรือปรับตามความมั่นใจ หรือใช้ในการแปลงหน่วย (เช่น 1 สัญญา Option = 100 หุ้น)
ตัวอย่างการปรับใช้กับ Option
สมมติว่าคุณมีพอร์ต 1,000,000 บาท และยอมรับความเสี่ยงได้ 1% ต่อเทรด = 10,000 บาท
สถานการณ์ 1: ตลาดผันผวนต่ำ (Low IV/ATR)
- คุณต้องการซื้อ Call Option หุ้น B ซึ่งมีราคา Premium อยู่ที่ 5 บาท/หุ้น (1 สัญญา = 100 หุ้น = 500 บาท)
- เนื่องจาก Volatility ต่ำ คุณประเมินว่าความเสี่ยงสูงสุดคือค่า Premium ที่จ่ายไป
- จำนวนสัญญาที่ซื้อได้ = 10,000 บาท / 500 บาท/สัญญา = 20 สัญญา
สถานการณ์ 2: ตลาดผันผวนสูง (High IV/ATR)
- คุณต้องการซื้อ Call Option หุ้น B ตัวเดิม แต่ตอนนี้ IV สูงขึ้น ทำให้ Premium กลายเป็น 10 บาท/หุ้น (1 สัญญา = 1,000 บาท)
- แม้จะเป็นหุ้นตัวเดิม แต่เนื่องจาก Volatility สูงขึ้น ราคา Option แพงขึ้น คุณจึงต้องลดขนาดลง
- จำนวนสัญญาที่ซื้อได้ = 10,000 บาท / 1,000 บาท/สัญญา = 10 สัญญา
จะเห็นได้ว่า เมื่อ Volatility สูงขึ้น ขนาด Position ของคุณจะลดลงโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษา Dollar Risk ให้อยู่ที่ 10,000 บาทเท่าเดิม
แนวคิดเพิ่มเติม: Position Sizing และการควบคุมความเสี่ยงใน Option
วิธีคิดขนาด Position แบบต่างๆ:
วิธี | แนวทาง | ตัวอย่าง / คำอธิบาย |
---|---|---|
Fixed Dollar Risk | กำหนดจำนวนเงินขาดทุนสูงสุดต่อเทรด | ง่ายที่สุด: เทรดแต่ละครั้งเสี่ยงไม่เกิน $X$ บาท (ตามตัวอย่างด้านบน) |
Fixed Vega Risk | ควบคุมความเสี่ยงจาก $Vega$ ให้คงที่ | เหมาะกับผู้ขาย Option หรือกลยุทธ์ที่อ่อนไหวต่อ IV: ตั้งเป้าให้ Vega รวมของ Position ไม่เกิน $Y$ เช่น ถ้า Long Option มี Vega = 0.10 และต้องการ Vega Risk $100$ → ซื้อ $100 / 0.10 = 1000$ หน่วย (10 สัญญา) |
Volatility Targeting | ปรับขนาด Position เพื่อให้ความผันผวนของพอร์ตโดยรวมคงที่ | ขั้นสูง: ใช้สูตรคำนวณเพื่อให้ Standard Deviation ของผลตอบแทนพอร์ตอยู่ที่ระดับเป้าหมาย เช่น 10% ต่อปี ช่วยให้ Equity Curve เรียบขึ้น |
Kelly Criterion | คำนวณสัดส่วนลงทุนที่เหมาะสมที่สุดทางคณิตศาสตร์ | ใช้โอกาสชนะ (Win Rate) และอัตราส่วนกำไร/ขาดทุน (Payoff Ratio) คำนวณ % ทุนที่ควรลง คำเตือน: สูตร Kelly เดิมมีความก้าวร้าวสูงมาก มักต้องใช้ Fractional Kelly (ลดสัดส่วนลง) และมีความเสี่ยงสูงหากประเมินค่าผิด |
กฎเหล็กในการควบคุมความเสี่ยง:
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงไม่จำกัด: ห้าม ขาย Naked Call หรือ Short Straddle/Strangle โดยไม่มีแผนป้องกันความเสี่ยงที่ชัดเจน เพราะมีโอกาสขาดทุนได้ไม่จำกัด
- อย่าเพิ่ม Position ตอนขาดทุน (Martingale): การ “ถัวเฉลี่ยขาลง” โดยเพิ่มขนาด Position เมื่อผิดทาง เป็นหนทางที่เร็วที่สุดในการล้างพอร์ต ควรลดขนาดหรือตัดขาดทุนเมื่อผิดทาง
- กำหนด Max Loss: ตั้งค่าการขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ ต่อวัน, ต่อสัปดาห์, หรือ ต่อ Position เพื่อป้องกัน Drawdown ที่รุนแรง และที่สำคัญคือ รักษาสภาพจิตใจ ในการเทรดต่อไป
สรุป: Position Sizing คือเกราะป้องกันของคุณ
การปรับขนาด Position ตามความผันผวนไม่ใช่แค่ “เทคนิค” แต่เป็น “วินัย” ที่สำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Option มันช่วยให้คุณ:
- ควบคุมความเสี่ยง ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เสมอ
- ลดผลกระทบ จากความผันผวนที่ไม่คาดคิด
- ปรับตัว ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
- สร้างความยั่งยืน ให้กับการเทรดในระยะยาว
จงจำไว้ว่า: การอยู่รอดในตลาด สำคัญกว่าการทำกำไรสูงสุดในครั้งเดียว และ Position Sizing คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการช่วยให้คุณอยู่รอด