Advanced Portfolio Hedging

Portfolio Hedging คืออะไร?

Portfolio Hedging คือการใช้เครื่องมือทางการเงิน (เช่น Options หรือ Futures) เพื่อป้องกันพอร์ตลงทุนจากการขาดทุนหนักในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

เป้าหมาย:

• จำกัดการขาดทุนที่ยอมรับได้ (Drawdown Control)
• ปกป้องกำไรที่สร้างไว้
• ลดความผันผวนของมูลค่าพอร์ต

วิธีการ Hedge พอร์ตขั้นสูง

1. ใช้ Protective Put

• ซื้อ Put Option บนสินทรัพย์ที่ถืออยู่
• เป็นวิธีง่ายและตรงที่สุดในการป้องกันขาลง

2. สร้าง Collar Strategy

• ซื้อ Put + ขาย Call พร้อมกัน
• จำกัดขาดทุนและจำกัดกำไร แต่ลดต้นทุนการ Hedge

3. ใช้ Bearish Spread

• ตั้ง Bear Put Spread หรือ Bear Call Spread
• บริหารความเสี่ยงขาลงด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าการซื้อ Put ตรง ๆ

4. ใช้ Index Options หรือ ETF Options

• Hedge พอร์ตหุ้นทั้งหมดด้วย SPX, SPY, หรือ ETF ที่สัมพันธ์กับพอร์ต
• ลดการ Hedge เป็นรายตัวที่ต้นทุนสูง

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการ Hedge พอร์ต

• ขนาดของพอร์ตที่ต้องการ Hedge (เช่น Hedge 100% หรือ 50%)
• มุมมองต่อความเสี่ยง (Aggressive vs Conservative)
• ต้นทุนการ Hedge (Net Premium)
• ระยะเวลาที่ต้องการ Hedge (สั้น vs ยาว)

ตัวอย่างการ Hedge พอร์ตจริง

• พอร์ตมีหุ้นมูลค่า 1,000,000 บาท
• ซื้อ Put Option บนดัชนี SET50 เพื่อ Hedge 80% ของพอร์ต
• หรือสร้าง Bear Put Spread บน S50 เพื่อป้องกันการตกหนัก

เทคนิคเสริมในการ Hedge แบบ Advance

• Dynamic Hedge: ปรับขนาดการ Hedge ตามการเคลื่อนไหวของตลาด (เช่นเพิ่ม Hedge เมื่อตลาดเริ่มหลุดแนวรับ)
• Partial Hedge: Hedge เพียงบางส่วนของพอร์ตเพื่อประหยัดต้นทุน
• Volatility Hedge: ใช้การเล่น IV เพิ่มขึ้น เช่น Long Straddle หรือ Long Strangle ในช่วงที่ตลาดคาดว่าจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้น

ข้อดี / ข้อเสียของการ Hedge พอร์ต

ข้อดี

• ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
• ป้องกัน Drawdown รุนแรง
• เพิ่มโอกาสรักษาพอร์ตให้อยู่รอดในระยะยาว

ข้อเสีย

• มีต้นทุนการ Hedge (ค่า Premium หรือ Margin)
• หากตลาดไม่เคลื่อนไหวรุนแรง → Hedge อาจกลายเป็นต้นทุนที่เสียเปล่า

สรุป