Advanced Credit/Debit Spread
Advanced Credit/Debit Spread
Credit/Debit Spread ขั้นพื้นฐาน (ทบทวน)
- Credit Spread: รับ Premium สุทธิ เช่น Bull Put Spread หรือ Bear Call Spread
- Debit Spread: จ่าย Premium สุทธิ เช่น Bull Call Spread หรือ Bear Put Spread
แนวคิดการพัฒนา Credit/Debit Spread ขั้นสูง
- ปรับขนาดและโครงสร้าง Spread ตามสภาพตลาด (Dynamic Width Adjustment)
- ใช้การบริหาร Greeks (Delta, Vega, Theta) ร่วมกับ Spread
- วางตำแหน่ง Strike ตาม Probability และ Expected Move
- Roll หรือ Adjust Spread เมื่อมีการเคลื่อนของราคาแรงกว่าคาด
การบริหาร Credit/Debit Spread ขั้นสูงคือการผสมผสานการตั้งค่าเชิงกลยุทธ์และการบริหารสถานะอย่างยืดหยุ่น
เทคนิคการปรับ Credit Spread ขั้นสูง
1. Widen the Spread
- เพิ่มระยะห่างระหว่าง Strike เพื่อเพิ่ม Net Credit โดยรักษา Risk/Reward Ratio ที่ดี
2. Adjust Strike ตาม Delta
- เลือก Strike ที่ Delta ต่ำ (เช่น 10–20) เพื่อเพิ่มโอกาสการชนะ (Probability of Profit)
3. Roll Forward
- เลื่อน Expiration ออกไปไกลขึ้นเมื่อราคาขยับใกล้ Short Strike เพื่อลดความเสี่ยง
เทคนิคการปรับ Debit Spread ขั้นสูง
1. Create Ratio Spreads
- เปลี่ยน Debit Spread ธรรมดาเป็น Ratio Spread เพื่อเพิ่มโอกาสกำไรเมื่อราคาขยับแรง
2. Use Calendars or Diagonals
- ผสมการเล่นเวลาและทิศทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนตัว
3. Partial Close
- ปิดบางส่วนของ Spread เมื่อตลาดขยับถึงจุดกำไรที่ต้องการ เพื่อลดความเสี่ยง
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
- ตั้ง Bull Put Spread ห่างออกไปจากราคาปัจจุบัน โดยเลือก Delta 15 และปรับระยะห่างของ Strike ให้ Net Credit คุ้มค่า
- หากราคาขยับเข้าใกล้ Short Strike → Roll Forward และ Widen Wing เพื่อเพิ่มโอกาสชนะ
ข้อดี / ข้อเสียของการบริหาร Spread ขั้นสูง
ข้อดี
- เพิ่มความยืดหยุ่นในการตั้งค่าและการบริหารสถานะ
- ลดผลกระทบจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด
- เพิ่มโอกาสในการล็อคกำไรหรือจำกัดขาดทุนได้ดีกว่าแบบดั้งเดิม
ข้อเสีย
- ความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ต้องติดตามสถานะใกล้ชิด
- ต้องเข้าใจพฤติกรรม Greeks และ Risk Management ดี
สรุป
- การพัฒนาเทคนิค Credit/Debit Spread ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างรายได้ในตลาดที่หลากหลาย
- ควรฝึกฝนการตั้งค่า Spread และการปรับสถานะให้เหมาะกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง